วันนี้ชวนหนุ่มๆ สาวๆ มารู้จักกับ 4 สารอันตรายใน “ครีมเร่งขาว” ภัยร้ายที่อยู่คู่ค่านิยมความขาวในสังคมไทยกันค่ะ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกววันนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าคนที่ “ผิวขาว” มักจะสวย หล่อ และดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนเราสามารถสวย หล่อ และดูดีได้ในแบบสีผิวของเรา และความเชื่อนี้ ยังนำมาซึ่งอันตรายที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ครีมเร่งขาว’ หรือศูนย์รวมสาร เคมีตัวร้าย ที่พร้อมทำลายผิวและร่างกายให้ตายทั้งเป็นได้ในทีเดียว
แพทย์หญิงณัฐินี จิตครองธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตจ ศัลยศาสตร์ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลเรื่องอันตรายจากครีมเร่งขาวไว้ว่า “ตัวครีมเร่งขาวส่วนใหญ่จะ ประกอบด้วยสารอันตรายอยู่ 4 ตัว ที่มีฤทธิ์ลอกผิว ทำให้เซลล์ผิวผลัด เร็วกว่าปกติ และทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น และหากใช้เป็นเวลา นาน ร่างกายดูดซึมสารเหล่านี้เข้าไปปริมาณมาก ก็จะส่งผลเสียกับ อวัยวะภายใน จนเป็นอันตรายร้ายแรง”
โดยทั่วไปแล้ว ครีมเร่งขาวจะมีสารเคมีที่ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเป็นส่วนผสมหลักอยู่แล้ว ซึ่งถ้าโชคดี ครีมที่ว่าก็อาจมีสารอันตรายผสมอยู่ 1-2 ชนิด แต่ถ้าบังเอิญหยิบไปเจอแจ็คพอตเมื่อไร ครีมเร่งขาวกระปุกนั้นก็อาจมีสารปรอท, ไฮโดรควิโนน, กรดวิตามินเอ และสเตียรอยด์ กวนรวมกันอยู่ครบครันเลยก็ได้
ถ้าบังเอิญว่าเผลอไปใช้ครีมจนคิดเองว่าได้ผล แสดงว่าสารอันตรายในนั้นเริ่มส่งผลใน ‘ระยะเฉียบพลัน’ กับผิวแล้ว เพราะใน ระยะแรก สารทั้ง 4 ตัว จะมีกลไกผลัดเซลล์ผิวในรูปแบบที่ต่างกันออกไป
“ปรอท” จะลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เเละทำให้เซลล์ผิวหนังผลัดไวมากขึ้น จึงทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ไฮโดรควิโนน” จะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างเม็ดสี จึงทำให้ผิวดูขาวขึ้น
“กรดวิตามิน เอ” จะกระตุ้นการแบ่งเซลล์ผิว เร่งการผลัดเซลล์ของผิว รวมทั้งยับยั้ง การสร้างเม็ดสี จึงทำให้รู้สึกว่าทาแล้วผิวขาว
“สเตียรอยด์” จะมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่นเดียวกันกับไฮโดรควิโนน
สรุปง่ายๆ ที่เห็นว่าสารทั้ง 4 ทำให้ผิวขาวขึ้น ล้วนแต่เกิดจากกลไกผลัดเซลล์ผิวอย่างรวดเร็วทั้งสิ้น ซึ่งผลจากการผลัดเซลล์ผิวเหล่านี้ จะส่งผลให้เกิดการระคายเคือง แสบร้อน ไวต่อแสง เกิดผื่นแดง และอาจทำให้เกิดรอยด่างดำตามมา แต่หากคิดว่านี่น่ากลัวแล้ว เรายังอยากให้คุณได้รู้จักกับอันตรายในเฟส 2 ที่จะส่งผลเสียกับอวัยวะภายในโดยตรงของอาการ ‘ระยะเรื้อรัง’
“การใช้ครีมเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จะทำให้เกิดการดูดซึมสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย จนเกิดอันตรายกับระบบต่างๆภายในร่างกายอย่าง เรื้อรัง” คุณหมอณัฐินี กล่าว “กรดวิตามินเอ ทำให้เกิดภาวะผิวด่างหรือภาวะผิวคล้ำผิดปกติ และหากใช้ขณะตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกพิการได้ ส่วนสเตียรอยด์ จะทำให้เกิดตุ่มแดงคล้ายสิวจำนวนมาก ที่เราเรียกว่า สิวสเตียรอยด์ ต้นเหตุของรอยดำ-รอยแดง และปัญหาหลุมสิวถาวร ทั้งยังทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังหดหรือขยายตัวผิดปกติ รวมไปถึงปัญหา ผิวแตกลายอย่างถาวรอีกด้วย
“แต่สำหรับไฮโดรควิโนนและปรอท จะอันตรายกว่านั้น โดยผลเสียของการใช้ ไฮโดรควิโนน โดยไม่อยู่ในการดูแลของแพทย์ จะทำให้ ผิวไวต่อแสงแดดได้ง่าย เกิดผิวคล้ำและฝ้าถาวร ส่วนกรณีร้ายแรงยังอาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังในอนาคต
“ด้าน ปรอท ถือเป็นสารที่สะสมในร่างกายได้เร็วที่สุด และส่งผลร้ายแรงที่สุดเช่นเดียวกัน เริ่มจากมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนัก ลด ปลายประสาทอักเสบ ทำให้มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ทรงตัวผิดปกติ ชัก หรือเกิดอาการประสาทหลอน และยังทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง รวมถึงผลเสียต่อระบบหัวใจ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หัวใจเต้นผิดจังหวะ จนถึงอันตรายต่อชีวิต”
ทีนี้เราคงจะได้รับรู้อันตรายของครีมเร่งขาวทั้ง 2 ระยะกันไปแล้ว ซึ่งวิธีการป้องกันอันตรายจากสิ่งเหล่านี้ที่ดีที่สุด ก็คงจะเป็นการไม่หยิบมาใช้ตั้งแต่แรก แต่หากใครเผลอใช้ครีมเหล่านี้แบบไม่ตั้งใจจนเกิดผลข้างเคียงกับผิว คำแนะนำเดียวคือให้หยุดใช้ แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว ความรุนแรงของผลข้างเคียง แล้วค่อยทำการรักษาในลำดับถัดไป
ส่วนอีกคำแนะนำหนึ่งจากคุณหมอณัฐินี ก็คือให้ลองวางค่านิยมของการมีผิวขาวลงก่อน แล้วตัดครีมเร่งขาวออกจากตัวเลือกในใจ เปลี่ยนเป็นครีมชุ่มชื้นที่เหมาะกับสภาพผิวของเราเอง จะทำให้เซลล์ผิวดูอิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน ดูเนียน ดูกระจ่างใส ที่สำคัญคือใส่ความมั่นใจลงไปอีกนิดว่า “ผิวของเรานั้นดูดีในแบบที่เป็นตัวของตัวเองที่สุดแล้ว”
ที่มา :https://www.matichon.co.th/local/news_2593674