ของหวาน ขนมหวาน ใครบ้างที่ไม่ชอบโดยเฉพาะสาวๆ แต่หยุดก่อน เพราะหากว่าคุณทานขนมหวานมากเกินไปเกิดโทษแน่ๆ ยังไงหากคิดจะทานขนมหวานก็มาดูกันสักนิดว่าโทษร้ายแรง
Sugar Blues อาการของคนติดนํ้าตาล
สังเกตไหมว่าบางคนจะมีอาการอยากกินของหวานๆ ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้กินจะรู้สึกโหยๆ หงุดหงิด หรือบาง ครั้งก็ซึมเศร้าไปเลย อาการแบบนี้เกิดจากการเสพติดน้ำตาลที่เรียกว่า “Sugar Blues” ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกโหยหานํ้าตาลทั้งวัน โดยเฉพาะช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้า และบ่ายสามโมง ถ้าไม่ได้กินน้ำตาลจะทำให้หดหู่หรือซึม เศร้าผิดปกติ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเกิดจากภาวะนํ้าตาลในเลือดตํ่า แล้วถ้ายังปล่อยให้ร่างกายเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะยิ่งส่งผลเสียกับร่างกาย ทำให้อารมณ์แปรปรวน ขี้โมโห ง่าย สมาธิสั้น เป็นภูมิแพ้ และความดันโลหิตตํ่า ยิ่งถ้าน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากๆ จะไปเก็บสะสมไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) และจะส่งกลับไปที่กระแสเลือดอีกครั้ง สุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นกรดไขมันไปสะสมตามจุดต่างๆ ได้ง่าย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพกมากเข้าก็ทำให้น้ำหนักเกิน ถ้ายังไม่ยอมเลิกกินของหวานๆ ก็จะทำให้กรดไขมันไปพอกพูนที่หัวใจ ตับ ไต ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมลงเรื่อยๆ และตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
ยิ่งทานนํ้าตาลมาก = เพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
มีรายงานจากวารสาร The American of Medical Association พบว่าน้ำตาลและระดับคอเลสเตอรอลมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จากผลการศึกษาพบว่าคนที่ทานน้ำตาลมากจะมีระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีรวมทั้งไขมันอันตรายในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับคนที่ทานนํ้าตาลน้อยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะการทานนํ้าตาลมากๆ จะทำให้ร่างกายของเรากระตุ้นการทำงานของตับให้ผลิตคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีมากขึ้น และที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือเข้าไปยับยั้งการกำจัดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีให้น้อยลงด้วย
ยิ่งกินนํ้าตาล ยิ่งทำให้หิว
หลายคนอาจรู้สึกว่าการทานนํ้าตาลจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น ซึ่งจริงๆ แล้วน้ำตาลจะช่วยให้เรารู้สึกมีแรงเพิ่มขึ้นได้แค่ 30 นาทีเท่านั้น แต่หลังจากนั้นนํ้าตาลจะทำให้เกิดการหลั่งของสารเซโรโทนินที่ให้เกิดอาการง่วงนอนเข้ามาแทนที่ รวมทั้งมีงานวิจัยหนึ่งบอกว่าการรับประทานนํ้าตาลมากเกินไปจะทำให้รู้สึกหิวมากกว่าเดิม เพราะน้ำตาลจะเข้าไปทำให้ฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะหลั่งออกมาเมื่อรูสึ้กอิ่มลดน้อยลง เลยทำให้เรากินแล้วไม่อิ่มสักที
1. ภาวะเลือดเป็นกรด เกิดจากการที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวจากน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ผลไม้ นม วิ่งเข้าสู่กระแสเลือดเป็นจำนวนมาก จนทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด ร่างกายต้องแก้ปัญหาโดยการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ เข้ามาในเลือด เพื่อปรับความเป็นกรดให้สมดุล ร่างกายจึงขาดสารอาหารจนอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง กระดูกเปราะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมสาวหวานถึงได้บอบบาง ป่วยง่ายหายช้ากันนัก
2. ฟันผุ คนที่มีน้ำตาลเกาะอยู่ที่ผิวเคลือบฟันตลอดวัน มักจะฟันผุและมีกลิ่นปาก เพราะคราบน้ำตาลที่เกาะอยู่ก็คืออาหารโต๊ะจีนสุดหรูที่แบคทีเรียในช่องปากชอบเลยก็ว่าได้
3. อารมณ์เสีย หงุดหงิด ขี้โมโห นี่คือลักษณะเด่นของคนที่ชอบความหวานเลยเชียว เพราะการมีน้ำตาลในเลือดมากทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนัก และขับอินซูลินออกมามากเกินไป เมื่อมีอินซูลินในสมองมาก เราจะเครียดจนกลายเป็นคนขี้โมโห ควบคุมอารมณ์สติไม่ค่อยได้
4. ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา เมื่อมีน้ำตาลในเลือดมากจนเลือดเป็นกรด ร่างกายจะไม่ส่งเลือดแบบนั้นขึ้นไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือด เราจึงง่วงซึม คิดอะไรไม่ออกไปทั้งวัน
5. อ้วน น้ำตาลก็คือคาร์โบไฮเดรตรูปแบบหนึ่ง เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมัน และถูกส่งไปสะสมอยู่ตาม หน้าท้อง สะโพก ต้นขา และที่อื่นๆ ที่คุณไม่อยากให้มี
6. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เพราะน้ำตาลก็คืออาหารของเชื้อโรค คนที่ชอบความหวานจึงมักจะแผลหายช้ากว่าคนอื่น และถึงหายก็มักจะเป็นแผลเป็น เพราะเชื้อโรคที่บาดแผลได้ของดีมาเพิ่มพลังนี่เอง
7. ความดันสูง หลังจากร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันแล้ว กรดไขมันเหล่านี้จะถูกส่งไปเกาะอยู่ตามอวัยวะภายในอย่างหัวใจ ตับ และไต ทำให้อวัยวะสำคัญทำงานไม่สะดวก ความดันเลือดจึงค่อยๆ สูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้
8. ปวดหัวเรื้อรัง เป็นไมเกรน สิวขึ้น เกิดแผลพุพอง เป็นตะคริว เวลาที่มีรอบเดือน มีโอกาสเป็นเบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับได้ตลอดเวลา
9. ผิวหนังเหี่ยวย่นทำให้แก่เร็ว น้ำตาลก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ถ้ากินน้ำตาลมากไปผิวเสีย หน้าแก่ เพราะน้ำตาลจะไปเปลี่ยนโครงสร้างของคอลลาเจนทำให้อีลาสติกน้อยลง ซึ่งอีลาสติกเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวกระชับและมีความยืดหยุ่น เมื่ออีลาสติกถูกทำลายลงก็จะทำให้ผิวหนังแห้ง มีริ้วรอยลึก หย่อนคล้อย เพราะความยืดหยุ่นในผิวหายไป ทำให้ผิวหน้าแก่ก่อนวันอันควร